ปัสสาวะเล็ด โดยส่วนใหญ่พบในผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป และพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ สำหรับผู้ชายจะพบปัญหาปัสสาวะเล็ดราดได้น้อยกว่า โดยพบในผู้ชายอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากผู้ชายมีกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะปัสสาวะที่แข็งแรงกว่า และมีต่อมลูกหมากที่ช่วยป้องกันไม่ให้ปัสสาวะเล็ด จึงทำให้พบภาวะนี้ได้น้อยกว่าผู้หญิง
ภาวะปัสสาวะเล็ดราด (Urinary Incontinence; UI) หรือ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หมายถึง การมีปัสสาวะรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน ได้แก่
1. ปัสสาวะเล็ด เนื่องจากการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง (Stress Urinary Incontinence; SUI) หมายถึง ภาวะที่มีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาเมื่อมีการเพิ่มแรงกดในกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง เช่น ไอ จาม เบ่ง หัวเราะ ออกกำลังกาย เป็นต้น หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เช่น เดิน วิ่ง ก้าวขึ้นบันได ก้มลงยกของหนัก เป็นต้น ภาวะนี้เกิดจากหูรูดท่อปัสสาวะทำงานผิดปกติ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงในกลุ่มที่เริ่มมีอายุ น้ำหนักตัวมาก เคยมีประวัติคลอดบุตรยากหรือคลอดบุตรตัวโต ที่ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือกระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน เป็นต้น
2. ปัสสาวะราด (Urge Urinary Incontinence; UUI) หมายถึง ภาวะที่มีอาการปัสสาวะราดออกมา หลังมีอาการปวดปัสสาวะ กล่าวคือมีอาการปวดปัสสาวะมากไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้นานพอ ทำให้ปัสสาวะราดออกมาทั้งหมดทันทีโดยไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้ทัน ภาวะนี้เกิดจากกระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวไวเกิน
3. ปัสสาวะเล็ดราด (Mixed Urinary Incontinence; MUI) หมายถึง ภาวะที่มีอาการปัสสาวะเล็ดราดหลังจากมีอาการปวดปัสสาวะเฉียบพลันและหลังจากมีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง โดยผู้ป่วยจะมีทั้งอาการ SUI และ UUI ร่วมกัน ภาวะนี้พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงเท่าๆ กัน
4. ปัสสาวะล้น (Overflow Urinary Incontinence) หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะไม่ได้ เมื่อมีน้ำปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะในปริมาณมาก และแรงดันในกระเพาะปัสสาวะสูงกว่าแรงดันที่หูรูดท่อปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะไหลล้นออกมา ภาวะนี้เกิดได้ในผู้ป่วยที่มีระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะเสียไปจากอุบัติเหตุ เนื้องอก หรือ โรคเบาหวาน
แนวทางการรักษา
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นสาเหตุให้เกิดปัสสาวะเล็ด เช่น ลดน้ำหนัก เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำอัดลม
2. หากปัสสาวะเล็ด เมื่อมีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นอาจให้ผู้ป่วยฝึกขมิบ เพื่อบริหารหูรูดให้กระชับและมีแรงกลั้นปัสสาวะ
3. กลุ่มอาการปัสสาวะเล็ด เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท หรือมีปัญหากระเพาะปัสสาวะไวกว่าปกติ จะรักษาเบื้องต้นด้วยการปรับพฤติกรรม โดยลดปริมาณการดื่มน้ำ และควบคุมการปัสสาวะให้เป็นเวลา4. กรณีที่ไม่สามารถใช้ยารับประทาน หรือใช้ไม่ได้ผล อาจรักษาด้วยกา่รใส่ยาเข้ากระเพาะปัสสาวะ ช่วยยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ5. การผ่าตัด เพื่อเสริมแรงต้านบริเวณท่อปัสสาวะ ช่วยให้การทำงาานของท่อปัสสาวะดีขึ้น เป็นการรักษาที่เห็นผลเร็ว ไม่ยุ่งยาก และมีประสิทธิภาพสูง
6. การทำกายภาพบำบัดโดยการใช้คลื่นแม่เหล็ก PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณท่อปัสสาวะให้กระชับ