Q & A เรื่อง นิ้วล๊อคหายได้ (Trigger Finger)
BY...FIRSTPHYSIO http://www.firstphysioclinic.com LINE ID:0852644994
Q: โรคนิ้วล็อค (Trigger finger) คืออะไร |
A: เกิดจากการใช้มือทำงานในท่ากำมือและแบอย่างแรงซ้ำๆ บ่อยๆ โดยอามีอาการเจ็บบริเวณโคนนิ้วด้านฝ่ามือ นิ้วล็อคหรือนิ้วติดแข็งอยู่ในท่างอเคลื่อนไม่ได้ เหยียดไม่ออกหรือ งอไม่ลง |
Q: วิธีทำกายภาพมือแบบง่ายๆ ก่อนจะเป็นนิ้วล็อคถาวร ได้อย่างไร |
A: 1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต 2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต 3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต |
Q: จะลดความเสี่ยงการเป็นนิ้วล็อค ได้อย่างไร |
A: 1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ 2. ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ 3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง 4. ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น 5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง |
Q: อาการของโรคนี้แบ่งเป็นกี่ระยะอะไรบ้าง |
A: 1. ระยะแรก มีอาการปวดเป็นอาการหลัก โดยจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ จะมีอาการปวดมากขึ้น ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด 2. ระยะที่สอง มีอาการสะดุด (Triggering) เป็นอาการหลัก และอาการปวดก็มักจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เวลาขยับนิ้ว งอ และเหยียดนิ้ว จะมีการสะดุดจนรู้สึกได้ 3. ระยะที่สาม มีอาการติดล็อคเป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว จะติดล็อคจนไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยแกะ หรืออาจมีอาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง 4. ระยะที่สี่ มีการอักเสบบวมมาก จนนิ้วบวมติดอยู่ในท่างอเล็กน้อย ไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้ ถ้าใช้มือมาช่วยเหยียดจะปวดมาก |
Q: วิธีการรักษา "โรคนิ้วล็อค" ประกอบ อะไรบ้าง |
A: 1. การใช้ยารับประทาน เพื่อลดการอักเสบ ลดบวม และลดอาการปวด ร่วมกับพัก การใช้มือ 2. การใช้วิธีทางกายภาพบำบัด ได้แก่ การใช้เครื่องดามนิ้วมือ การนวดเบาๆ การใช้ความร้อนประคบ และการออกกำลังกายเหยียดนิ้ว โดยการรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัด อาจใช้ร่วมกันได้ และมักใช้ได้ผลดีเมื่อมีอาการของโรคในระยะแรก และระยะที่สอง 3. การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ เพื่อลดการอักเสบ ลดปวดและลดบวม เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมาก ส่วนมากมักจะหายเจ็บ บางรายอาการติดสะดุด จะดีขึ้น แต่การฉีดยามักถือว่าเป็นการรักษาแบบชั่วคราว และข้อจำกัดก็คือ ไม่ควรฉีดยาเกิด 2 หรือ 3 ครั้ง ต่อ 1 นิ้วที่เป็นโรค การรักษาโดยการฉีดยานี้สามารถใช้ได้ กับอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะท้าย 4. การรักษาโดยการผ่าตัด ถือว่าเป็นการรักษาที่ดีที่สุดในแง่ที่จะไม่ทำให้กลับมาเป็นโรคอีก หลักในการผ่าตัด คือ ตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่หนาอยู่ให้เปิดกว้างออก เพื่อให้เส้นเอ็นเคลื่อนผ่านได้โดยสะดวก ไม่ติดขัดหรือสะดุดอีก ทั้งนี้ การผ่าตัดแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ การผ่าตัดแบบเปิด เป็นวิธีมาตรฐาน ที่ควรทำในห้องผ่าตัด โดยฉีดยาชาเฉพาะที่ผ่าตัดเสร็จก็กลับบ้านได้ หลังผ่าตัดหลีกเลี่ยงการใช้งานหนัก และการสัมผัสนิ้ว ประมาณ 2 สัปดาห์ |
Q: ผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค ที่เป็นเบาหวาน หรือ ทานยาป้องละลายลิ่มเลือด สามารถผ่าตัดเจาะนิ้วล็อค ด้วย A-Knife ได้หรือไม่? |
A: รักษาได้ วิธีเจาะจะเหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเพราะแผลจะเล็กกว่าการผ่าแบบเปิดผิวหนังมาก ทำให้ลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อของแผลผ่าตัดน้อยกว่า การดูแลแผลหลังผ่าตัดทำได้ง่ายกว่า ไม่ต้องหยุดยาเบาหวานก่อนผ่าและไม่ต้องงดอาหารก่อนผ่าตัด ในกรณีคนไข้โรคหลอดเลือดตีบเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคหลอดเลือดในสมองตีบ ที่ต้องกินยาป้องกันเลือดแข็งหรือตัวยา ละลายลิ่มเลือด ก็สามารถเจาะนิ้วล็อคได้โดยที่ไม่ต้องหยุดยา |
Q: สาเหตุของนิ้วล็อค เกิดจากอะไร? |
A: นิ้วล็อคเกิดจากการเสื่อมสภาพและมีการอักเสบของเส้นเอ็นจากการเสียดสีกับปลอกหุ้มเอ็น ทำให้เกิดการบวมของเอ็น และปลอกหุ้มเอ็น (สีน้ำเงินตามรูป) จะรัดเส้นเอ็นทำให้เกิดการติดขัดขณะเหยียดและงอนิ้วมือ อาการจะเกิดขึ้นได้กับทุกนิ้วการเป็นนิ้วล็อคมีความสัมพันธ์กับผู้ที่มีการออกแรงใช้งานมือมาก เช่นการทำงานออกแรงกำงอนิ้วมือ และพบได้มากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ |
Q: โรคนิ้วล็อค เป็นในผู้ป่วยอายุเท่าไร? |
A: โรคนิ้วล็อค เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป จะพบเป็นโรคนิ้วล็อค ประมาณ 2 % นิ้วล็อคเกิดได้กับทุกนิ้ว จะพบบ่อยที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้ว กลางและนิ้วนาง |
Q: ทำอย่างไรเมื่อเป็นโรคนิ้วล็อค? |
A: 1. ลดการใช้งานของมือ โดยเฉพาะการทำงานที่ต้องเกร็งงอนิ้วมือ เช่น การใช้นิ้วเกี่ยวหิ้วถุงพลาสติก เป็นต้น 2. แช่มือที่เป็นนิ้วล็อคในน้ำอุ่นประมาณ 10–15 นาที หลังจากนั้นซับให้แห้งและใช้ยาทาที่มีสรรพคุณทาแก้ปวดเมื่อย ทานวดเบาๆบริเวณที่มีอาการปวด คือ โคนนิ้วด้านฝ่ามือ วันละ 2-4 ครั้ง 3. ถ้ามีอาการปวดมาก หรือมีการติดขัดของนิ้ว ให้ไปพบแพทย์ |
Q: การฉีดยาสเตอร์รอยรักษานิ้วล็อค มีผลข้างเคียงหรือไม่? |
A: การฉีดยาสเตอร์รอยจะลดการอักเสบของเส้นเอ็น ถ้ามีการอักเสบเกิดขึ้นอีกก็จะเกิดการเป็นนิ้วล็อคซ้ำได้ การฉีดยาสเตอร์รอยมีผลข้างเคียงคือ 1.ตัวยาสเตอร์รอย จะทำให้เกิดเสื่อมของเส้นเอ็นได้ ในกรณีที่ฉีดเข้าไปในเส้นเอ็นโดยตรงจะทำให้เส้นเอ็นขาดได้ 2.จุดที่ฉีดยาอาจเกิดการติดเชื้อได้ ปริมาณการฉีดสเตอร์รอยจึงควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ โดยทั่วไป ไม่ควรฉีดซ้ำที่จุดเดิม เกิน 2-3 ครั้ง และการฉีดแต่ละครั้งควรเว้นระยะเวลาห่างอย่างน้อย 3 เดือน |
Q: การผ่าตัดนิ้วล็อคควรทำเมื่อไร? การผ่าทำอย่างไร? |
A: การผ่าตัดนิ้วล็อค จะพิจารณาเมื่อรักษาโดยการกินหรือฉีดยาสเตอร์รอยแล้ว ยังคงมีอาการปวดและติดขัด หรือมีอาการเป็นซ้ำ การผ่าตัดเป็นวิธีที่จะทำให้โรคหายขาด ไม่เกิดการเป็นซ้ำ การผ่าตัดมีจุดมุ่งหมายคือ การตัดปลอกหุ้มเอ็นที่เป็นสาเหตุของการรัดเส้นเอ็นให้คลายออก แพทย์จะตัดเฉพาะปลอกหุ้มเอ็นอันเล็กที่เป็นสาเหตุของโรค จะคงเหลือปลอกหุ้มเอ็นอันใหญ่ ทำให้เมื่อตัดปลอกหุ้มเอ็นออกแล้วนิ้วมือยังคงสามารถใช้งานได้เหมือนปกติ การผ่าตัดมี 2 วิธี คือ 1.การผ่าโดยการเปิดผิวหนัง เป็นการผ่าแบบมาตรฐานที่แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ วิธีการทำโดยกรีดผ่าผิวหนังเป็นแผลกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ใช้เครื่องมือถ่างบาดแผลเพื่อให้เห็นปลอกหุ้มเอ็น แล้วใช้กรรไกรหรือมีดตัดคลายปลอกหุ้มเอ็นออกหลังผ่าตัดต้องเย็บปิดบาดแผล 2.การเจาะนิ้วล็อค แผลจะมีขนาดเล็กประมาณ 2 มิลลิเมตร ไม่ต้องเย็บแผล |
Q: การเจาะรักษานิ้วล็อคโดยใช้ A-Knife ต่างจากใช้เข็มเขี่ยอย่างไร? |
A: มีดเจาะนิ้วล็อค A-Knife เป็นนวัตกรรมที่ออกแบบโดย ผศ.นพ.สิทธิโชค อนันตเสรี มีการเผยแพร่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 โดยบริษัท ออร์โธเนียร์ จำกัด มีการออกแบบให้ปลายมีดมีลักษณะมนสำหรับเขี่ยหาปลอกหุ้มเอ็นจะทำให้แพทย์สามารถทราบตำแหน่งที่จะตัด เมื่อแพทย์สอดส่วนมนเข้าไปใต้ต่อปลอกหุ้มเอ็น การดัน เลื่อนมีดเพื่อให้คมมีดขนาดเล็กตัดปลอกหุ้มเอ็น จะทำให้การตัดปลอกหุ้มเอ็นขาดได้โดยที่เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงน้อยมากตามรูป ต่างจากการใช้เข็มที่มีปลายแหลม การเขี่ยและตัดปลอกหุ้มเอ็นจะทำโดยการคาดเดาและใช้ความรู้สึกเท่านั้น จะมีโอกาสตัดเอ็นและเนื้อเยื่อข้างเคียงให้เกิดการบาดเจ็บได้สูง |
Q: เจาะนิ้วล็อคด้วย A-Knife ดีอย่างไร? |
A: A-Knife ได้รับการออกแบบให้ปลายมีดมีลักษณะมน แพทย์ใช้เขี่ยหาปลอกหุ้มเอ็นทำให้ทราบตำแหน่งปลอกหุ้มเอ็นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีการคาดเดาอย่างเช่นการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ปลายแหลมชนิดอื่นเขี่ยตัด และมีส่วนโค้งและส่วนคมมีดขนาดเล็ก ทำให้สามารถตัดปลอกที่รัดเอ็นออกโดยเกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงน้อยมาก ขนาดของก้านมีดมีขนาดเล็กสามารถสอดผ่านรูเจาะที่ผิวหนังขนาด 2 มิลลิเมตร ทำให้แผลเล็ก เจ็บน้อย หลังผ่าตัดไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยหายเร็ว สามารถใช้งานมือได้ใน 24 ชั่วโมง |
Q: ผู้ป่วยที่จะเจาะนิ้วล็อคด้วย A-Knife จะต้องเตรียมตัวอย่างไร? |
A: การเจาะนิ้วล็อคด้วย A-Knife สามารถทำได้โดยไม่ต้องงดอาหาร และผู้ป่วยไม่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้นเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อกรณีที่ควรหลีกเลี่ยงการเจาะคือ การมีบาดแผลหรือมีการติดเชื้อที่มือข้างที่เป็นนิ้วล็อค สำหรับผู้ป่วยที่กินยาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดสามารถเจาะได้โดยไม่จำเป็นต้องงดยาก่อนผ่าตัด |
Q: หลังเจาะรักษานิ้วล็อคแล้ว จะปฏิบัติตัวหลังเจาะอย่างไร? |
A: 1.กดบาดแผลผ่าตัดเพื่อห้ามเลือด ประมาณ 5 นาที 2.กินยาตามแพทย์สั่ง 3.หลังจากผ่าตัด 24 ชั่วโมง ให้เปิดแผลและมือสามารถโดนน้ำได้ สามารถใช้งานมือได้เท่าที่ไม่ฝืนอาการปวด 4.บริหารนิ้วมือที่ผ่าโดยการกำงอและเหยียดนิ้วให้สุดบ่อยๆ 5.กรณีที่ไม่สามารถเหยียดและงอนิ้วได้สุด ให้แช่มือในน้ำอุ่นและดัดนิ้วมือให้งอและเหยียดเบาๆวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที |
Q: อาการแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง? |
A: 1.มีอาการปวดและกดเจ็บบริเวณรอยเจาะ ส่วนมาก ร้อยละ 95 อาการจะทุเลาลงได้เองในระยะเวลา 6 สัปดาห์ 2.ถ้าอาการปวดที่รอยเจาะไม่ทุเลาหรือปวดมาก แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตอร์รอย 3.มีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาท ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหรือชาที่นิ้วได้ ตามสถิติพบได้ร้อยละ 1-2 |
Q: โรคนี้พบในเด็กได้หรือไม่ |
A: Trigger finger/thumb พบในเด็กได้ตั้งแต่ ขวบปีแรกถึงอายุ 5 ปีพบในเพศชาย-หญิงในปริมาณเท่าๆกัน มากกว่าร้อยละ 90 พบที่นิ้วหัวแม่มือ. อาการที่พบ มักจะพบว่านิ้วหัวแม่มือติดอยู่ ในท่างอ ไม่สามารถเหยียดนิ้วได้สุด และคลำได้ก้อนนูนที่โคนนิ้วหัวแม่มือ มักไม่ค่อยพบอาการสะดุดของนิ้ว หากพบภายในขวบปีแรก ภาวะนี้จะหายได้เองประมาณร้อยละ 30-60 แต่ถ้าพบหลังอายุ 1 ปี สามารถหายเองได้ร้อยละ 12 ดังนั้นการรักษาในช่วงอายุ 1 ปีแรกคือแนะนำให้สังเกตอาการ และนัดตรวจติดตาม และรักษาด้วยการผ่าตัด ถ้ายังพบมีอาการอยู่หลังอายุ 2 ปี |
Q: การรักษาโดยการทำ percutaneous release ได้ผลดีหรือไม่ |
A: การทำ percutaneous release คือ การใช้อุปกรณ์ เช่นปลายเข็มฉีดยา หรือเครื่องมือเฉพาะแทงผ่านผิวหนังแล้วทำการสะกิด หรือตัด A1 pulley จนขาดจากกันโดยไม่ต้องทำแผลเปิด. ข้อดีของการทำ percutaneous release คือ ขนาดแผลเล็กกว่าการทำ open surgery ประสิทธิภาพในการรักษาเท่ากันหากสามารถ releaseA1 pulley ได้หมด. แต่การ ทำ percutaneous release จะต้องสะกิดหลายครั้งและ มองไม่เห็นโครงสร้างใต้ผิวหนัง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการบาดเจ็บต่อเส้น ประสาท digital, ตัด A1 pulley ได้ไม่หมด และบาดเจ็บต่อเส้นเอ็น. ดังนั้นผลการรักษาโดย percutaneous release จะขึ้นอยู่กับทักษะและความชำนาญของ surgeon ไม่แนะนำให้ใช้เป็นวิธีมาตรฐานในการรักษา |
Q : จำเป็นต้องฉีด corticosteroid เข้าไปใน tendon sheath หรือไม่ |
A : การฉีด corticosteroid เข้าไปใน tendon sheath กับฉีดรอบๆ tendon sheath ได้ผลในการรักษาไม่แตกต่างกัน. การฉีด corticosteroid เข้า tendon sheath มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดcollagen necrosis จากการฉีดยาเข้าไปใน flexor tendon ได้สำหรับการฉีด corticosteroid เข้าบริเวณ subcutaneous tissue ก็อาจเกิด fat necrosis และ skin depigmentation ได้ |
Q : การฉีดยาสตีรอยด์ได้ผลหรือไม่ ควรเริ่มฉีดเมื่อไร |
A : การฉีด corticosteriod เป็นการรักษาที่ให้ผลดีในระยะแรกๆ ของโรคนิ้วล็อก โดย มีประสิทธิภาพในการรักษาถึงร้อยละ 93 โดยผสม corticosteroid (triamcinolone,methylprenisolone, หรือ betamethasone) กับ lidocaine ฉีดได้เมื่อให้การวินิจฉัยครั้งแรก หรือหลังจากใช้ splint แล้วไม่ได้ผล. การตอบสนองต่อ corticosteroid จะลดลงหากอาการเป็นมานานมากกว่า 6 เดือน หรือเป็นการฉีดครั้งที่ 2 ขึ้นไป เนื่องจาก corticosteroid จะช่วยลด inflammation แต่ไม่สามารถแก้ไขภาวะ fibrocartilagenous metaplasia ได้ จึงไม่แนะนำให้ฉีด corticosteroid มากกว่า 3 ครั้ง |
Q : การรักษาด้วยการผ่าตัด ทำอย่างไร |
A : การรักษาด้วยการผ่าตัด คือการตัด A1 pulley เพื่อให้เส้นเอ็นเคลื่อนที่ได้สะดวกขึ้น |
Q : ตัด A1 pulley ไปแล้วจะเกิดผลเสียหรือไม่ |
A : Pulley system ช่วยทำให้ได้เปรียบเชิงกล ในการออกแรงงอนิ้วและป้องกันการเกิด bowstring ของเส้นเอ็น. การตัด A1 pulley ทำให้กล้ามเนื้อต้องออกแรงในการงอนิ้วเพิ่มขึ้น |
Q : การรักษาโดยการทำ percutaneous release ได้ผลดีหรือไม่ |
A : การทำ percutaneous release คือ การใช้อุปกรณ์ เช่นปลายเข็มฉีดยา หรือเครื่องมือเฉพาะแทงผ่านผิวหนังแล้วทำการสะกิด หรือตัด A1 pulley จนขาดจากกันโดยไม่ต้องทำแผลเปิด ข้อดีของการทำ percutaneous release คือ ขนาดแผลเล็กกว่าการทำ open surgery ประสิทธิภาพในการรักษาเท่ากันหากสามารถ release A1 pulley ได้หมด. แต่การ ทำ percutaneous release จะต้องสะกิดหลายครั้งและมองไม่เห็นโครงสร้างใต้ผิวหนัง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการบาดเจ็บต่อเส้นประสาท digital, ตัด A1 pulley ได้ไม่หมด และบาดเจ็บต่อเส้นเอ็น. ดังนั้นผลการรักษาโดย percutaneous release จะขึ้นอยู่กับทักษะและความชำนาญของ surgeon ไม่แนะนำให้ใช้เป็นวิธีมาตรฐานในการรักษา |
Q: ในการรักษานิ้วล็อคด้วยพาราฟินบำบัดคืออะไร |
A: ในด้านการรักษา จะใช้ขี้ผึ้งพาราฟินที่ได้รับการหลอมละลายด้วยความร้อน ใช้สำหรับรยางค์ส่วนปลาย เช่น มือ เท้า ศอก แขน ขา มักใช้ในผู้ป่วยที่ปวดข้อเรื้อรังอย่างโรครูมาตอยด์ โรคนิ้วล็อค เป็นต้น ความร้อนจะสามารถลงไปถึงผิวรอบๆข้อได้ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลดการสะสมของกรดยูริกที่อยู่ตามข้อ ทำให้อาการปวดจากการที่มีกรดยูริกคั่งค้างลดลง |
Q: ประโยชน์ของพาราฟินและการรักษาทำอย่างไร |
A: ประโยชน์ของพาราฟิน - การลดความเจ็บปวด - การลดการอักเสบ - การลดการยึดรั้งของเนื้อเยื่อหรือการเพิ่มการยืดตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจน - การลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ - การลดการบวม - เพิ่มการไหลเวียนเลือด - เพิ่มการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ - การเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อ วิธีการรักษา จุ่มส่วนที่ต้องการรักษาลงไปและยกขึ้นมาทันที อย่าเคลื่อนไหวส่วนที่รักษาขณะจุ่ม รอจนพาราฟินแข็งตัวและเปลี่ยนจากสีใสเป็นสีขุ่น จุ่มลงไปเช่นเดิมอีกประมาณ 6 – 10 รอบ เมื่อจุ่มครบแล้ว ห่อด้วยถุงพลาสติกและผ้าขนหนู ทิ้งไว้เช่นนี้ประมาณ 10 – 15 นาที หรือจนกระทั่งเย็นแล้วจึงลอกพาราฟินออก |
ถาม-ตอบ ข้อสงสัยเกี่ยวกับกายภาพบำบัด
>>>เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด
>>>http://www.firstphysioclinic.com
>>>LINE ID: 0852644994
หน้าที่เข้าชม | 3,206,882 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,288,805 ครั้ง |
เปิดร้าน | 31 ต.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |