Q & A เรื่อง เบาหวาน (Diabetes Mellitus)
BY...FIRSTPHYSIO http://www.firstphysioclinic.com LINE ID:0852644994
1. Q: โรคเบาหวานที่พบได้บ่อยและเป็นปัญหาที่สำคัญในประเทศไทย คือ |
A: โรคเบาหวานชนิดที่ไม่พึ่งอินซูลิน |
2. Q: แนวทางในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน มีกี่ระดับอะไรบ้าง |
A: 3 ระดับ คือ ระดับแรก คือการป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน (primary prevention) โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการเกิดโรค ระดับที่สอง คือการพยายามชะลอการดำเนินของโรค (secondary prevention) โดยมาตรการต่างๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งการวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยที่ยัง ไม่มีอาการ เพื่อให้การรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มแรก และระดับสุดท้าย คือการป้องกัน หรือชะลอการเกิด ภาวะแทรกซ้อน และทุพพลภาพอันเนื่องมา จากโรคเบาหวาน (tertiary prevention) |
3. Q: เหตุใดแผลเบาหวานจึงหายยาก |
A: 1.ปลายประสาทเสื่อม ผู้ป่วยเบาหวานจะสูญเสียการรับความรู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกร้อนเย็น 2.ความผิดปกติของหลอดเลือด เนื่องจากเกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็งจนบางครั้งอุดตัน ซึ่งเกิดขึ้น ได้ทั้งในหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้าขึ้นได้เองเนื่องจากเนื้อเยื่อ ขาดเลือดไปเลี้ยง พบได้ที่ปลายนิ้วเท้าทั้งห้าหรือส้นเท้า 3.การติดเชื้อแทรกซ้อน |
4. Q: การรักษาแผลที่เท้าเบื้องต้นทำได้อย่างไร |
A: ควรล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นและสบู่ เช็ดให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลที่แห้งและผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว |
5. Q: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ควรควบคุมให้อยู่ในระดับใด |
A: ประมาณ 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร |
6. Q: ปัจจัยใดที่มีความสำคัญอย่างมาก ต่อการเกิดโรคเบาหวาน |
A: ปัจจัยทางพันธุกรรม |
7. Q: พราะเหตุใดความเครียด จึงเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน |
A: ภาวะเครียดทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น glucagon, cortisol และcatecholamines ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ |
8. Q: ยาที่อาจเป็นผลต่อตับอ่อน ทำให้หลั่งอินซูลินได้น้อยลง ได้แก่อะไรบ้าง |
A: คือ ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาต้านเบต้า คอร์ติโคสเตียรอยด์ และยาคุมกำเนิดบางชนิด |
9. Q: การบริโภคสารอาหารชนิดใดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ |
A: การหันมานิยมบริโภคอาหารแบบตะวันตก ซึ่งมีไขมันสูง และปริมาณเส้นใยอาหารต่ำ |
10. Q: การตรวจร่างกายในระบบประสาทที่สามารถบอกถึงความรุนแรงของ neuropathy ได้ ประกอบ ด้วยอะไรบ้าง |
A: การตรวจประกอบด้วย sensation light touch , pinprick , motor strength , vibration และ propioception การสญเสีย propioception ทําให้เกิด positive Romberg ‘ s sign และทําให้ deep tendon reflex ที่เข่าและที่เท้าลดลง |
11. Q: การตรวจร่างกายผู้ป่วยเบาหวานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คืออะไร |
A: การคลำชีพจร ที่ขา 2 ข้าง |
12. Q: คำแนะนำที่เป็นการป้องกันการถูกตัดขาจากโรคเบาหวาน คืออะไร |
A: ควรตรวจเท้าและบริเวณซอกนิ้วเท้าอย่างละเอียดทุกวัน เพื่อค้นหาความผิดปกติเช่น หนังด้านแข็ง ตุ่มพุพอง ตาปลา รอยแตก หรือการติดเชื้อราหรือไม่ |
13. Q: เพราะเหตุใดจึงห้ามตัดตาปลา หรือผิวหนังแข็งด้วยตนเอง |
A: เพราะอาจทำให้แผลลุกลามได้เนื่องจากขาดความรู้สึก |
14. Q: เพราะเหตุใด ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรงดสูบบุหรี่ |
A: เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดเส้นเลือดตีบตัน และจะเร่งให้เส้นเลือดเล็กๆที่เท้าตีบตันเร็วขึ้น |
15. Q: ลักษณะรองเท้าที่เหมาะสมในผู้ป่วยเบาหวานคือ |
A: สวมใส่สบาย น้ำหนักเบา อากาศถ่ายเทสะดวก ภายในนิ่มไม่มีรอยกดเจ็บต่อฝ่าเท้า |
16. Q: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ(Hypoglycemia) ในผู้ป่วยเบาหวานมีอาการอย่างไร |
A: มีอาการดังต่อไปนี้เช่น เหงื่อออกมาก ตัวเย็น มือสั่น รู้สึกอ่อนเพลีย มึนงง หงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นมา ทันทีทันใด หัวใจเต้นแรงและเร็ว ปวดหรือมึนศีรษะ เห็นภาพซ้อนตาพร่ามัว หิวมาก หน้าซีดพูด ไม่ชัด ชักและหมดสติ อาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักเกิดจาก การฉีดอินซูลิน (Insulin) หรือกิน ยาลดระดับน้ำตาลมากไป |
17. Q: Fasting Blood Sugar (FBS) คืออะไร |
A: เป็นการวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรงโดยการเจาะเลือดก่อนการกินอาหารเช้า (ห้ามกินอะไรหลังเที่ยงคืนก่อนการเจาะเลือด) |
18. Q: หลักในการการควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน(Diabetes Nutrition guide) ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน คืออะไร |
A: การควบคุมอาหารจึงทำได้โดยการกินอาหารให้น้อยลงโดยเฉพาะอาหารจำพวกไขมัน กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำ |
19. Q: ปัจจุบันยาที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดมีกี่ประเภท |
A: มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ 1.ยาฉีดอินซูลิน (Insulin Preparations) 2. ยากิน (Oral Hypoglycemic Agents) |
20. Q: สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานควรให้ความระมัดระวังคือ |
A: อย่าเดินเท้าเปล่าโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตามให้ใส่รองเท้าแตะขณะอยู่ในบ้านเพราะผู้ป่วยเบาหวานอาจเดินไปเหยียบเศษวัสดุต่างๆที่อาจทำให้เกิดแผลที่เท้าได้โดยไม่รู้ตัว |
21. Q: การออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานคือ |
A:การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะๆ และการว่ายน้ำ ฯลฯ ระยะเวลาในการออกกำลังกายควรเป็นครั้งละ 20-45 นาที ให้ผู้ป่วยเบาหวานพยายามทำให้ได้สม่ำเสมอทุกวันหรืออย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง |
22. Q: ข้อควรระวังในการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานคือ |
A: ระหว่างการออกกำลังกายหากเกิดอาการดังต่อไปนี้ให้หยุดออกกำลังกายและปรึกษาแพทย์ทันที อาการดังกล่าวคือ หน้ามืด ตาพร่ามัว หิว เหงื่อออกมาก ใจสั่น เหนื่อยมากผิดปกติ เป็นแผลที่เท้า เจ็บแน่นที่หน้าอก |
23. Q: การรักษาดูแลอาการที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ |
A: ให้ผู้ป่วยเบาหวานกินอะไรก็ได้ที่สามารถถูกดูดซึมและเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยเร็วเช่น นมรสหวาน ลูกกวาดหรือน้ำหวาน ฯลฯ แล้วให้ผู้ป่วยพักผ่อนรอดูอาการสักครู่หนึ่ง |
24. Q: สิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องปรับตัวคือ |
A: หมั่นมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและตั้งใจปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยความพยายาม การปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์จะมีเป้าหมายอยู่ที่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้ เคียงกับคนปกติ |
25. Q: รูปแบบในการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน คืออะไร |
A: การออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานมักจะไม่มีรูปแบบตายตัวหรือท่าทางเฉพาะ ขึ้นอยู่กับ สภาพ ของผู้ป่วยว่าจะเหมาะกับการออกกำลังกายแบบใด ตัวอย่างเช่น ปั่นจักรยาน เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ โยคะ ฤๅษีดัดตน รำมวยจีน รำไม้พลอง การยกน้ำหนักเบา ๆ เพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ หรือ แม้แต่การทำงานบ้าน งานสวน ถ้าทำติดต่อกัน อย่างน้อย 20 นาที ก็ถือว่าเป็นการออกกำ ลังกายเช่นกัน แต่ทั้งนี้จะต้องไม่หักโหมมากนัก |
ถาม-ตอบ ข้อสงสัยเกี่ยวกับกายภาพบำบัด
>>>เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด
>>>http://www.firstphysioclinic.com
>>>LINE ID: 0852644994
หน้าที่เข้าชม | 3,206,882 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,288,805 ครั้ง |
เปิดร้าน | 31 ต.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |